WooCommerce กับ Magento ที่นับเป็นเครื่องมือ ในการ สร้างเว็บไซต์ สำหรับ Ecommerce ที่ได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก ที่สุดในขณะนี้ แต่เครื่องมือ 2 ชนิด แตกต่างกัน ฉะนั้นวันนี้เราจะมา เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ของเครื่องมือ สองชนิดนี้
คือ แพลตฟอร์มที่ใช้ในการ จัดการเนื้อหา บนเว็บไซต์ Content Management System หรือ CMS ที่จะสามารถช่วยในการ สร้าง และปรับตกแต่ง ร้านค้าออนไลน์ ภายในเว็บไซต์ ด้วย ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เหมาะสำหรับทั้ง มืออาชีพ และมือใหม่ ๆ เพราะว่า มันจะง่ายต่อ การใช้งาน ถึงแม้ว่า คุณจะไม่มีความรู้ เกี่ยวกับ เรื่องเว็บไซต์ หรือว่า การเขียนโค้ด กันเลย
Adobe Commerce ก็คือ แพลตฟอร์มที่ใช้ในการ จัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ Content Management System : CMS ซึ่งถูกออกแบบ เพื่อการทำ ECommerce โดยเฉพาะ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเปรียบเสมือนระบบหลังบ้าน ที่สร้างขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์กับ การขายของออนไลน์ ซึ่งใช้ภาษา PHP โดยช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถที่จะ พัฒนาเว็บไซต์ ของตัวเองได้ตั้งแต่ การจัดหมวดหมู่สินค้า, การอัปเดตจำนวนสินค้าในคลัง, ระบบชำระเงิน, และ การจัดส่ง รวมไปถึง การจัดทำโปรโมชั่น
ซึ่งเป็น โปรแกรมสำเร็จรูป ที่มีระบบเดียวกันกับ WordPress ฉะนั้นจึงทำให้ ใช้งานง่าย สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องมี พื้นฐานความรู้ ทางด้าน การเขียนโค้ด ก็จะสามารถใช้งานได้เลย
ซึ่งไม่ใช่โปรแกรมสำเร็จรูป ระบบการใช้งาน ก็ค่อนข้างที่จะซับซ้อน และยังอาศัยการปรับแต่ง ที่ซับซ้อนพอสมควร ฉะนั้นแล้ว ผู้ใช้งานจึงจำเป็นจะต้องมี ความรู้ทางด้าน การพัฒนาเว็บไซต์ หรือว่าเป็นผู้ที่มี ความรู้ด้านโปรแกรม ก็จะสามารถช่วยให้ ใช้งานได้สะดวก มากขึ้น
เพราะว่า WooCommerce นั้นเป็น ปลั๊กอินเสริม ใน Content Management System ชื่อดัง อย่าง WordPress จึงทำให้มีรูปแบบของ การใช้งาน ที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ถึงแม้ว่าคุณจะ ไม่มีความรู้ ในการทำเว็บไซต์ หรือว่า การเขียนโค้ด กันมาก่อน ก็สามารถที่จะ ใช้งานกนได้
WooCommerce นั้นเป็นเครื่องมือในการ สร้างเว็บไซต์ ของ ร้านค้าออนไลน์ ที่ครบครัน และ การมีฟีเจอร์ ของการใช้งาน ที่เหมาะสม สำหรับการทำ ร้านค้าออนไลน์ ในธุรกิจทุกประเภท ซึ่งไม่ว่าจะเป็น การสร้างร้านค้า, การจัดการสินค้า, การจัดการออเดอร์, หรือ การจัดโปรโมชั่น ที่ช่วยส่งเสริมการขาย เป็นต้น
สำหรับ ร้านค้าออนไลน์ ที่สร้างด้วย WooCommerce นั้นไม่เพียงแต่จะ นำเสนอสินค้าให้กับ ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ เพียงเท่านั้น แต่ว่าผู้ประกอบการ ก็ยังสามารถที่จะ เพิ่มหัวข้อบทความ หรือว่า Content ต่าง ๆ สำหรับ การทำ SEO ได้อีกด้วย +7j:นอกจากนี้ ระบบของ WooCommerce ก็ยังรองรับ การทำโฆษณา ที่หลากหลาย อย่างเช่น Google Shopping, Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads เป็นต้น
ถึงแม้ว่า WooCommerce นั้นจะเป็นปลั๊กอินในการ สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูป แต่ก็ยังมีฟีเจอร์ ที่สามารถใช้ในการ ปรับแต่ง ได้ตามชอบ และยังออกแบบ การจัดวาง หน้าเว็บไซต์ สำหรับ ร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างอิสระ อีกด้วย จึงทำให้สามารถ สร้างเว็บไซต์ Website ที่ทำให้ดูมีเอกลักษณ์ ที่แตกต่างจาก Website อื่น ๆ และยังช่วยให้สามารถ ปรับแต่งเว็บไซต์ ได้ตามความเหมาะสม กับ ประเภทสินค้า ที่เราจำหน่าย
สำหรับเครื่องมือ WooCommerce ใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ถ้าหากการใช้งาน ฟีเจอร์ขั้นพื้นฐานนั้นไม่ตอบโจทย์ ก็สามารถซื้อปลั๊กอิน หรือฟีเจอร์อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ ซึ่งแต่ละประเภท ก็จะมีงบประมาณ ให้ได้เลือกตามความเหมาะสม และความต้องการ ของเรา ทั่วไปแล้ว ก็จะมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึง หลักหมื่นบาท
WooCommerce ที่มาพร้อมกับ ระบบประมวล และวิเคราะห์ผล ทางด้านการตลาด ที่มีความละเอียด และความแม่นยำ ที่สูง ซึ่งระบบดังกล่าว ก็ยังสามารถที่จะ ทำงานร่วมกับ Google Analytics ได้อีกด้วย
ถึงแม้ WooCommerce นั้นจะมีฟีเจอร์ ที่ครบครัน แต่ถ้าหากรู้สึกว่า ฟีเจอร์ที่ให้มา นั้นไม่เพียงพอ หรือว่ายังไม่ตอบโจทย์ความต้องการ คุณก็สามารถ ติดตั้งปลั๊กอินเสริม ตัวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ แต่ก็อาจจะมี ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ของแต่ละประเภท ปลั๊กอินเสริม
WooCommerce ก็ยังไม่มีฟีเจอร์รองรับ การสร้างร้านค้าออนไลน์ ของหลาย ๆ ร้านในเวลาเดียวกัน และนอกจากนี้ ก็ยังไม่มีฟีเจอร์รองรับ การใช้งาน ที่หลากหลายภาษา
สำหรับเครื่องมือ WooCommerce ที่ไม่มีฟีเจอร์การตั้งค่า ให้กับผู้ใช้งานสามารถค้นหาสินค้า ในแบบละเอียด หรือ Advanced Search ได้ โดยในส่วนนี้ ก็อาจจะทำให้เรา พบเจอกับความยุ่งยาก ในการค้นหาสินค้า ที่มากกว่าปกติ
ถ้าหากฟีเจอร์ของ WooCommerce นั้นยังไม่เพียงพอ และยังไม่ตอบโจทย์กับความต้องการ การติดตั้งปลั๊กอินเสริม ก็อาจจะเป็นทางออก ที่ตอบโจทย์มากกว่าแต่ตรงนี้ก็อาจเป็นข้อเสีย นอกจากยุ่งยากแล้ว ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Magento จะมีหลายฟีเจอร์ ที่เราสามารถตั้งค่าเพื่อให้ปรับเปลี่ยน ได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ภาษาต่าง ๆ หรือการตั้งค่าหน้าแสดงผลร้านค้า ที่แตกต่างกันออกไป ตามหมวดหมู่ แยกย่อยของสินค้า อย่างเช่น หน้าเว็บไซต์สินค้าผู้ชาย และ หน้าเว็บไซต์สินค้าผู้หญิง ที่ต้องแยกออกจากกัน
สำหรับเครื่องมือ Magento ที่รองรับการปรับแต่ง ได้อย่างอิสระ ไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าเราอยากจะเนรมิต Website ให้ออกมาเป็นรูปแบบไหน หรืออยากจะเพิ่มหน้า Content SEO เราก็สามารถเข้าไปทำได้ และความพิเศษของ Magento ก็ยังอยู่ที่ การไร้ข้อจำกัดทางเวลา เพราะว่า ในอนาคตถ้าหากเราต้องการ เปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ภายในร้านค้า ระบบก็จะยังสามารถ ปรับเปลี่ยนการออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับ รูปแบบใหม่ ๆ ได้ โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลากับการ สร้างเว็บไซต์ใหม่ โดยทั้งหมด
Magento จะมีฟีเจอร์การรองรับ การปรับแต่งระบบการชำระเงิน และตัวเลือกการจัดส่ง ได้หลากหลาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน ในรูปแบบของ การเก็บเงินปลายทาง, การชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต, การโอนผ่านบัญชีธนาคาร, การผ่อนชำระ, การชำระเงินผ่าน Paypal เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้ ระบบของ Magento ก็ยังรองรับ การจัดส่งที่หลากหลาย ซึ่งจะวิเคราะห์ตามข้อมูล ที่เราได้ตั้งค่าเอาไว้ เช่น รูปแบบการจัดส่ง ที่รวมไปถึงค่าใช้จ่าย
Magento จะมีฟีเจอร์การตั้งค่าของ ระบบค้นหาสินค้า ในร้านได้ทั้งแบบปกติ และแบบละเอียด จึงทำให้ตอบโจทย์การค้นหา ของผู้ใช้งาน ได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งเครื่องมือนี้ สามารถรองรับ การทำ SEO ได้ดี ทั้งในแง่ของ การเพิ่มหน้า Content สำหรับ การทำ SEO หรือว่า การปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อที่จะให้ติดอันดับ ในหน้าแรกของ Google ของระบบ Search Engine
ซึ่งจะมีระบบการวัด วิเคราะห์ และ ประมวลผลการตลาด ที่ไม่ว่าจะเป็น ภาพรวม หรือข้อมูลเชิงลึก และยังสามารถที่จะ ใช้ข้อมูลตรงนี้ ในการรายงานผลประกอบการ จึงทำให้เรา ไม่ต้องนำมาวิเคราะห์ หรือว่า คำนวณเองใหม่
ซึ่งจะมีการนำ AI มาปรับใช้ เพื่อช่วยส่งเสริม ในด้านประสบการณ์การซื้อ ของผู้บริโภค และยอดขาย ให้ดีมากขึ้น โดยระบบ AI นั้นจะทำการประมวลผลจาก อัลกอริทึม ของการใช้งาน ของผู้บริโภค และสามารถเลือก แนะนำสินค้า ที่ตอบโจทย์กับความต้องการ ของผู้บริโภคนั้น ๆ ได้มากที่สุด
เพราะว่า Magento นั้นมีฟีเจอร์ที่ครบครัน รวมไปถึงมีความสามารถในการช่วยปรับแต่งหน้าร้านค้า ได้ไม่จำกัด และการใช้งานในแต่ละครั้ง ก็อาจทำให้เกิด การดาวน์โหลด และประมวลผลที่ช้า กว่าเว็บไซต์อื่น ๆ แต่ความเร็วในการดาวน์โหลด ก็ยังพอรับได้ และไม่ได้ส่งผลกระทบ หรือว่าเป็นปัญหาต่อการใช้งาน
เพราะว่า Magento นั้นไม่ใช่เว็บไซต์สำเร็จรูป แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเขียนโค้ดเอง จึงทำให้ผู้ใช้หลาย ๆ คน อาจจะมองว่ามันยุ่งยาก และเหตุนี้ จึงยังไม่เป็นที่นิยมใช้กัน ในกลุ่มคนที่มากนัก
ซึ่งฟีเจอร์ที่ครบครันของ Magento ก็ย่อมตามมาด้วยการ มีค่าใช้จ่ายที่สูง มากเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่า Magento นั้นจะรองรับการปรับแต่งขั้นสูง รวมไปถึงการติดตั้งปลั๊กอินเสริม แต่ขั้นตอนการติดตั้ง นั้นค่อนข้างที่จะยุ่งยาก มากพอสมควร ซึ่งเราจำเป็นจะต้องมี ความเชี่ยวชาญในทางด้านเทคนิค และการเขียนโค้ด จึงจะสามารถทำการแก้ไข ในส่วนนี้กันได้
การสร้างเว็บไซต์ ECommerce นั้นอาจไม่มีคำตอบที่ตายตัว ว่าเราควรจะเลือก WooCommerce หรือ Magento ตัวไหนดี แต่เราควรจะพิจารณาถึงความเหมาะสม ของการใช้งาน ที่ควบคู่ไปกับงบประมาณ เราก็จะสามารถเลือกใช้งาน เพื่อให้ตอบโจทย์กับ ธุรกิจออนไลน์ ของเรา ได้มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากใครมีข้อสงสัยในส่วนนี้ หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติม ก็สามารถเข้ามาสอบถามกันได้ที่ https://edenagencys.com/ ได้เลยค่ะ
เป็นนักเขียนคอนเทนต์ที่ชื่นชอบในการเขียน และชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
หรือเรียกได้ว่าเป็นความสนใจเฉพาะด้านอย่างมากที่ได้นำความเชี่ยวชาญมาสู่งานเขียน
อีกทั้งยังได้เขียนคอนเทนต์ที่มีความรู้เกี่ยวกับด้านการตลาด SEO และ Digital Marketing
ที่ได้แบ่งปันความรู้ ให้กับผู้อื่น และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คอนเทนต์ที่ภัสสรได้นำเสนอผ่านเว็บไซต์
จะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้เป็นอย่างมาก