ทำ SEO มีกี่ประเภท อยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ ต้องรู้ไว้เลย

จะทำเว็บไซต์ทั้งที รู้จัก SEO หรือยังคะ ว่ามีกี่ประเภท?

สำหรับในการแบ่งประเภทของ SEO จะมีวิธีการแบ่งอยู่หลัก ๆ ด้วยกันทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่

1. On-Page SEO
2. Off-Page SEO
3. Technical SEO

สำหรับในแต่ละประเภท ก็ถือเป็นองค์ประกอบ ที่เราไม่สามารถละเลยไปได้เลย แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่งได้ เพื่อทำให้แคมเปญ SEO นั้นเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด

โดยในการทำเว็บไซต์ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย นั่นคือการสร้างคอนเทนต์คุณภาพ และต้องทำ SEO ควบคู่กันไปด้วย หากคุณเริ่มต้นทำ SEO แล้วล่ะก็ การเรียนรู้ที่จะรู้จักประเภทของ SEO ก็จะเป็นการดีที่สุด และแน่นอนว่า เว็บไซต์ของคุณออกมาปังแน่นอน เรียนรู้ไว้ก่อน ยิ่งรู้มาก โอกาสที่จะชนะคู่แข่งก็มีมากขึ้น สำหรับการทำ SEO หรือที่เรียกว่า Search Engine Optimization เป็นกระบวนการทีสำคัญ ในการเรียกยอดผู้เข้าชมจากการค้นหาแบบฟรี ๆ ผ่านเครื่องมือเสิร์ชเอนจิ้นต่าง ๆ อย่างเช่น Google ที่มีคนใช้งานกันมากที่สุด โดยเป็นการอาศัยเทคนิคและกระบวนการ ที่จัดทำข้อมูลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สำหรับการค้นหาและเข้าถึงสินค้า หรือบริการต่าง ๆ ที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยว่า ทำ SEO นั้นมีกี่ประเภท รวมถึงในแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร เรารวมทุกคำตอบมาเพื่อคุณแล้ว

ประเภทของ การทำ SEO มีแบบไหนบ้าง?

สำหรับประเภทของการทำ SEO นั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technical SEO สำหรับข้อควรรู้ในแต่ละประเภท มีดังต่อไปนี้    

1. On–Page SEO คืออะไร

เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมตรงตามที่ Google ได้กำหนดเอาไว้ โดยการทำ On–Page SEO ถือเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้เรานั้นสามารถปรับแต่ง แก้ไข ออกแบบ และจัดการเว็บไซต์เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ รวมถึงเพื่อช่วยให้ Bot ของ Google ก็สามารถทำความเข้าใจได้ทันทีเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปประมวลผล และทำการจัดอันดับเนื้อหาเพื่อให้มีประสิทธิภาพ วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการติดอันดับ

การทำ On-Page SEO ต้องทำอะไรบ้าง?

สำหรับบทความ

- ต้องใส่ Alt Tags สำหรับรูปภาพและไฟล์ สามรรถช่วยให้ Google เข้าใจได้ทันทีว่ารูปภาพหรือไฟล์นั้นคืออะไร ต้องการสื่อถึงอะไร

- ใส่คำพ้องหรือคำที่มีความใกล้เคียง ( Synonyms ) กับคีย์เวิร์ดใส่ลงไปด้วย

- ห้ามลืมใส่ External Links เข้าไปในบทความ โดยในการใส่ External Links หรือใส่ Link จากเว็บไซต์ข้างนอก ช่วยสร้างการอ้างอิงที่ดี และสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อให้กับบทความได้มากขึ้นอีกด้วย

- ใส่ Internal Links หรือ Link ภายในเว็บไซต์ของคุณ เพราะว่า เมื่อใส่ลิงก์เว็บไซต์ ก็จะช่วยให้ผู้อ่านเค้าสามารถกดลิงก์เข้าไป เพื่อดูบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกันได้

- อย่าลืมใส่คีย์เวิร์ด ( Keyword ) เอาไว้ ใน Title Tag และควรวางคีย์เวิร์ดสำคัญเอาไว้ในคำแรก ๆ ของชื่อเรื่อง

- ควรใส่คีย์เวิร์ด ( Keyword ) ในช่วง 1-150 คำแรกของคอนเทนต์ที่เขียน

- ควรใส่คีย์เวิร์ดใน H1, H2 หรือ H3 ด้วย เพื่อความสมบูรณ์มากขึ้น

สำหรับ URL

- ใส่คีย์เวิร์ด ( Keyword ) เข้าไปใน URL เพราะเมื่อใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปใน URL ก็จะช่วยให้ Google ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าเพจของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม CTR แบบออแกนิกอีกด้วย

- ใช้ URLs สั้น ๆ โดยใช้ URL ที่สั้นมาก ก็จะยิ่งมีอันดับที่ดีกว่า หน้าเสิร์ชของ Google ยิ่งมีการใช้ URL ที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และมีการใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปด้วย ก็จะยิ่งหาได้ง่ายมากขึ้น

2. Off–Page SEO คืออะไร

ก่อนหน้าเราพูดกันถึง On-Page SEO แล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือการทำ Off-Page SEO นั่นเพราะ ในการทำ Off–Page SEO เป็นการทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์ เพื่อให้เราสามารถจัดการและทำให้คุณสมบัติของเว็บไซต์มีค่าสูงขึ้น และสามารถแสดงผลในเสิร์ชเอนจิ้น อาทิ การทำลิงก์จากภายนอกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ หรือที่เรียกว่า เป็ฯการทำ Backlink โดยสามารถช่วยสร้างการจดจำเว็บไซต์จากภายนอกได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

การทำ Off-Page SEO ต้องทำอะไรบ้าง?

สำหรับ Backlinks

- การสร้าง Backlinks ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถทำได้ด้วยการเขียนคอนเทนต์ และการเผยแพร่บนเว็บไซต์อื่น ๆ หรือที่เรียกว่า Guest Posting โดยฝังลิงก์ของเว็บไซต์คุณ ใส่เอาไว้บนเว็บไซต์นั้น ๆ โดยช่วยสร้าง Traffic ที่ดีให้กับเว็บไซต์ของคุณเอง

- การสร้าง Backlinks จำเป็นที่จะต้องเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ Backlinks ที่มีคุณภาพย้อนกลับมา

- ลิงก์ที่ได้รับนั้นมีลิงก์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ธรรมดาที่มีการพูดถึงแบรนด์ของคุณในแบบออร์แกนิก หรือจะเป็นลิงก์ที่สร้างขึ้นผ่านการติดต่อกับผู้เผยแพร่เพื่อขอให้ฝังเว็บไซต์ของคุณลงในบทความนั้น ๆ ด้วย

สำหรับ Social Media

- การใช้ Social Media ก็จะช่วยสร้างการจดจำให้กับแบรนด์ของคุณได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเป็นวงกว้างแล้ว ยังช่วยสร้าง traffic ให้กลับมาในเว็บไซต์ของคุณด้วย

3. Technical SEO คืออะไร

ในขั้นตอนนี้ เป็นการทำ SEO ในเชิงเทคนิค เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ ให้ Bot ของ Google สามารถค้นหาข้อมูล รวบรวม และจัดทำดัชนีหน้าเว็บไซต์ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้ Google สามารถมองเห็นโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ง่ายมากขึ้นทันที

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ ประเภทของการทำ SEO อยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ ต้องรู้ไว้เลย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้ของเราสามารถไขข้อสงสัยเกี่ยวกับประเภทและส่วนประกอบของ SEO ได้บ้าง หวังว่าคุณจะได้ความรู้เกี่ยวกับประเภทของ SEO ในแบบต่าง ๆ ทั้ง Technical SEO, On-Page และ Off-Page SEO ว่าคืออะไร และหากคุณต้องการที่ปรึกษาและหาบริษัทที่รับทำ SEO นั้น ก็สามารถติดต่อเราได้ทันที